เทียบตัวต่อตัว! นูเญซ กับ ฮาแลนด์ ใครจะเอาตัวรอดได้ในพรีเมียร์ลีก

ถ้าไม่มีอะไรผิดพลาด ดาร์วิน นูเญซ จะกลายเป็นนักเตะใหม่ของ ลิเวอร์พูล ในซัมเมอร์นี้ค่อนข้างแน่นอนแล้ว โดยถือว่าเป็นกองหน้าระดับพันล้านคนที่สองในตลาดรอบนี้ต่อจากดีลของ เออร์ลิ่ง เบราท์ ฮาแลนด์ ซึ่งย้ายมาร่วมทัพเรือใบสีฟ้าเรียบร้อยไปแล้ว
สื่ออังกฤษหลายสำนักเลยถือโอกาสนี้ นำข้อมูลและสถิติน่าสนใจของ นูเญซ กับ ฮาแลนด์ มาเทียบกันชัด ๆ ไปเลยว่า ระหว่างกองหน้าใหม่ของแชมป์เก่ากับว่าที่กองหน้าใหม่ของรองแชมป์คู่นี้ ใครมีจุดเด่นอะไร และมีจุดไหนที่เหนือกว่ากันบ้าง โดยอิงจากผลงานในฤดูกาลล่าสุดมาเป็นข้อมูลประกอบ
คอลัมน์นี้ขอแบ่งออกเป็น 3 หัวข้อใหญ่ ๆ เพื่อง่ายต่อการอ่านและจำแนกแจกแจง หากพร้อมแล้ว เชิญทัศนาที่บรรทัดด้านล่างนี้กันได้เลย

คุณภาพในการทำประตู
สถิติการทำประตูในฤดูกาลล่าสุดของ นูเญซ กับ ฮาแลนด์ ถือว่าสูสีและใกล้เคียงกันนะครับ ซึ่งทั้งสองคนนี้เป็นกองหน้าตัวเป้าประจำทีมกันทั้งคู่ นูเญซ อายุ 22 ปี สูง 187 ซม. ขณะที่ ฮาแลนด์ อายุ 21 ปี สูง 194 ซม.
ขอเริ่มที่ ดาร์วิน นูเญซ ก่อนเลย กองหน้าชาวอุรุกวัยรายนี้ลงสนามรวมทุกรายการไปทั้งสิ้น 41 นัด ยิงไป 34 ประตู 4 แอสซิสต์ หากนับจำนวนนาทีคือ 2,821 นาที มีค่าเฉลี่ยการทำประตูคือ 83 นาทีต่อ 1 ประตู
ส่วน ฮาแลนด์ ในฤดูกาลที่ผ่านมามีอาการบาดเจ็บรบกวน จึงทำให้เขาลงสนามไปทั้งหมด 30 นัดจากทุกรายการ ยิงได้ 29 ประตู 8 แอสซิสต์ นับเป็นนาทีคือ 2,388 นาที มีค่าเฉลี่ยใกล้เคียงกับ นูเญซ มาก ๆ คือ 82 นาทีต่อ 1 ประตู
เว็บไซต์ Squawka ลงลึกในรายละเอียดเฉพาะเกมลีกของทั้งคู่แล้วนำมาเทียบในหลาย ๆ จุด โดยแบ่งออกเป็นดังนี้

– นูเญซ ยิงในลีกโปรตุเกสไป 26 ประตูจากการลงตัวจริง 24 นัด โดยเป็นการทำประตูในกรอบเขตโทษ 25 ลูก / เท้าขวาข้างถนัด 16 ลูก / เท้าซ้าย 5 และลูกโหม่ง 5 ซึ่งในจำนวนนี้มาจากการยิงจุดโทษอีก 4 ลูก
นูเญซ หาโอกาสทำประตูไปทั้งหมด 69 ครั้ง, ตรงกรอบ 43 ค่าเฉลี่ยในการยิงตรงกรอบสูงถึง 62%
– ในรายของ ฮาแลนด์ เองยิงในบุนเดสลีกาไป 22 ประตูจากการออกสตาร์ตตัวจริง 21 นัด เป็นการทำประตูจากในกรอบเขตโทษ 21 ลูก / มาจากเท้าซ้ายข้างถนัด 16 / เท้าขวา 3 และลูกโหม่ง 3 ซึ่งเขาทำประตูจากจุดโทษไป 6 ลูก
ฮาแลนด์ หาโอกาสทำประตูได้เท่ากับ นูนเญซ คือ 69 ครั้ง แต่ตรงกรอบน้อยกว่าคือ 37 ทำให้มีค่าเฉลี่ยในการยิงตรงกรอบอยู่ที่ 54% เท่านั้น
อย่างไรก็ดีครับ นูเญซ เองก็มีจุดอ่อนที่น่าห่วงอยู่ไม่น้อย เพราะสถิติจากฤดูกาลที่ผ่านมาบันทึกไว้ว่า ดาวยิงชาวอุรุกวัยพลาดโอกาสทองในการทำประตู หรือ Big chances missed ไปมากถึง 14 ครั้ง! ส่วนทางด้าน ฮาแลนด์ เองพลาดไปแค่ 5 ตัวเลขตรงนี้สำคัญพอสมควร เพราะอาจบ่งบอกถึงความคมหรือสภาพจิตใจว่าใครนิ่งกว่ากับโอกาสทองตรงหน้า ซึ่งอาจมีผลต่อเกมมากเลยทีเดียว

การมีส่วนร่วมต่อเกม
ดาร์วิน นูเญซ มีตัวเลขค่าเฉลี่ยในการเลี้ยงบอลหลบคู่ต่อสู้อยู่ที่ 3.06 ครั้งต่อนัด เหนือกว่า ฮาแลนด์ ที่ทำได้ 1.04 ครั้ง และอีกจุดที่น่าสนใจคือการเพรสซิ่งในแดนหน้า ปรากฏว่า นูเญซ เข้าแท็คเกิ้ลแย่งบอลจากแดนสามได้ประมาณ 0.55 ครั้งต่อนัด เหนือกว่า ฮาแลนด์ ที่ทำได้เพียง 0.19 ซึ่งในจุดนี้เองที่อาจตอบโจทย์ฟุตบอลในแบบฉบับของ คล็อปป์ จนทำให้ ลิเวอร์พูล ยอมทุ่มเงินก้อนโตพยายามคว้าตัวมาร่วมทีม
และข้อสุดท้ายคือความหลากหลายในการเล่น
เออร์ลิ่ง เบราท์ ฮาแลนด์ เป็นกองหน้าตัวเป้าธรรมชาติ ซึ่งจัดอยู่ในประเภท Poacher หรือ Target man มีสัญชาตญาณการทำประตูเฉียบคม ยืนค้ำแดนหน้าคอยรอเก็บตกแบบมืออาชีพที่ไม่ค่อยพลาดในจังหวะสำคัญ
แต่กับ ดาร์วิน นูเญซ นั้นต่างออกไปเล็กน้อยครับ แม้ว่าเขาจะสวมเสื้อเบอร์ 9 เป็นตัวเป้าคล้ายกัน ทว่าดาวยิงชาวอุรุกวัยรายนี้สามารถเล่นได้มากถึง 3 บทบาทในแนวรุก
นูเญซ จะตอบโจทย์ของ คล็อปป์ ได้เป็นอย่างดีเพราะเขาเล่นได้ทั้งกองหน้าตัวต่ำ และถ่างไปเล่นปีกซ้ายได้อีกด้วย อย่างในเกมที่แอนฟิลด์ ครึ่งหลังเขาก็ขยับออกมาเล่นด้านซ้าย แถมยังทำผลงานได้ดีอีกต่างหาก

ซึ่งในอดีตเขาก็เล่นตำแหน่งนี้มาแล้วหลายครั้ง ยกตัวอย่างช่วงที่มา เบนฟิก้า ปีแรก เหตุที่เขายิงประตูได้ไม่เยอะเท่านี้ เป็นเพราะว่าเขาเล่นกองหน้าตัวต่ำสลับกับปีกซ้ายครับ โดย นูเญซ ยิงไป 14 ประตูแต่ทำได้ถึง 12 แอสซิสต์ นั่นแสดงให้เห็นว่า เขามีดีมากกว่ายืนรอยิงประตูอย่างเดียวแน่นอน
สุดท้ายนี้ ทั้ง นูเญซ และ ฮาแลนด์ ถือว่ามีดี มีจุดเด่น จุดด้อยที่รอการพัฒนาแตกต่างกันไป แม้ว่าจะเป็นกองหน้าตัวเป้าเหมือนกัน แต่การใช้งานของทั้งคู่ดูแล้วร่าจะตอบโจทย์ ลิเวอร์พูล กับ ซิตี้ ได้ตามแต่สไตล์ของทีมแน่ ๆ
ปัจจัยอื่น ๆ ที่ทั้งคู่จะต้องเจอในฤดูกาลใหม่ที่จะถึงนี้มีมากมาย ทั้งสปีดเกม ความหนักหน่วงของกองหลังในอังกฤษ รวมถึงการปล่อยเกมของผู้ตัดสิน ที่อาจมีผลต่อการปรับตัวในช่วงแรก ๆ อยู่ไม่น้อย
ด้วยค่าตัวที่สูง บวกกับการอยู่ทีมใหญ่ ทั้ง นูเญซ และ ฮาแลนด์ ต้องแบกรับความกดดันอย่างเลี่ยงไม่ได้ หากใครปรับตัวได้เร็วย่อมได้เปรียบกว่า ยิ่งย้ายมาในช่วงเวลาไม่ห่างกันมากแบบนี้ ยิ่งต้องโดนสื่อนำไปเปรียบเทียบอย่างแน่นอน
สิ่งเดียวที่จะปลดล็อคความกดดันได้คือประตูแรก หากใครควานหาได้ก่อน ถือว่าได้เปรียบและอาจเอาตัวรอดในช่วงที่เหลือของฤดูกาลได้แบบไม่ยากเย็นเลยทีเดียว